ง่ายๆก่อนอื่นต้องสังเกตุก่อนเลยว่า โคมไฟ LED หรือหลอดไฟ LED ที่เราจะเลือกมีมาตรฐาน มอก. มั้ย เพราะเป็นมาตรฐานบังคับ จากนั้นเราก็มาเลือกกำลังวัตต์ (W) ที่เราต้องการ เช่น โคมไฟ LED ตามโรงงานต่างๆที่เลือกใช้ส่วนมากจะมี 100W 150W 200W จนถึง 400W เป็นต้น ทั้งนี้เราจะต้องดูความสูงที่เราจะนำโคมไฟ LED ไปใช้งาน ว่าสูงกี่เมตร ระยะห่างระหว่างโคมเท่าไหร่ เดี๋ยวเงาเยอะอีก เพื่อที่จะหากำลังไฟที่จะใช้ว่าเหมาะกับโคมไฟ LED กี่วัตต์ ต่อมาเราจะต้องมาดูกันที่ค่าลูเมน (lm) เป็นความต้องการของเราที่จะเลือกความสว่างของโคมไฟ LED ยิ่งมากยิ่งดี ความสว่างของพื้นที่นั้นๆ เราจะเลือกซื้อได้ตามความต้องการของเราของแต่ละงานที่จะต้องนำไปใช้ จากนั้นเราต้องมาดูความต้องการว่า เราอยากได้สีของแสงประมาณไหน ซึ่งจะมีแสงเช่น Warm White ค่าแสงจะประมาณ 3000K Cool White ค่าแสงจะประมาณ 4000K และ Daylight White ค่าแสงจะประมาณ 5700K ต่อมาเราต้องเลือกมุมการกระจายของแสง จะมีมุมต่างๆตามที่ทำให้แสงที่ออกมานั้นมีความกระจายแสงมากขึ้นจากปกติที่แสงจะพุ่งตรงลงมาให้สว่างแค่เพียงบางจุด เช่นมุม 25 องศา, 65 องศา, 100 องศา และต้องสอบถามการประกันสินค้าของตัวโคม LED มีประกันให้กี่ปี อายุการใช้งาน ใช้งานได้กี่ชั่วโมง โดยปกติมาตรฐานของ LED จะใช้งานได้มากถึง 5 หมื่นชั่วโมงเลยทีเดียว ถ้าจะให้ชัวร์ที่สุด ควรขอโคมตัวอย่างจากผู้ผลิต หรือผู้แทนจำหน่ายเข้ามาติดตั้งในพื้นที่จริง และทำการวัดแสงเพื่อให้แน่ใจว่า แสงห่างระหว่างโคมไฟ LED เพียงพอต่อความต้องการมั้ย ถ้าหากโรงงานมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย(จป.) ในการตรวจวัดแสงจะผ่านตามเกณฑ์มั้ย สำหรับโรงงานที่ซีเรียสมากๆ ควรเผื่อค่าแสงไว้ เช่น ข้อกำหนดทางกฎหมายกำหนดไว้ 200 ลักซ์ ก็ควรจะทำค่าลักซ์ให้ผ่านไว้ที่ 220 ถึง 250 ลักซ์ โดยประมาณเพื่อระยะยาวหากมีการดรอปของแสงก็ยังคงผ่านเกณฑ์ โดยไม่ต้องติดตั้งโคมเพิ่ม
อีกอย่าง..อย่าลืมดูว่าจุดติดตั้งนั้นอยู่ภายในหรือภายนอกที่มีน้ำหรือละอองมาปะทะกับโคมไฟ LED หรือไม่ หากมีให้กำหนด IP65 ขึ้นไปเพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างใช้งาน
สรุปเลย ถามเซลล์ กำหนดงบประมาณ ให้จัดโคมมาเทียบราคา ง่ายสุด